เช้าตรู่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2553 ผมขับรถไปตามถนนด้านหลังมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มุ่งไปทางอำเภอนครชัยศรี ประมาณ 4 กิโลเมตร ถึงวัดสุวรรณ อยู่ริมคลองมหาสวัสดิ์ ไปพบคณาจารย์และนักศึกษารังสีเทคนิคชั้นปีที่ 2 ภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งนัดหมายกันไว้ พอถึงก็พบ ผศ.ศิริพร รศ.ดร.จิราภรณ์ อ.ดร.นวลเพ็ญ อ.ดร.ยุทธพล อ.สัมฤทธิ์ คุณธนธร วันนี้เหล่าคณาจารย์ซึ่งรับผิดชอบการสอนวิชา Transformative Learning สำหรับนักรังสีเทคนิค เพิ่งเปิดสอนในปีการศึกษานี้เป็นปีแรก ได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้นอกสถานที่ ให้นักศึกษาได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติ สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในละแวกคลองมหาสวัสดิ์ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ว่าความสุขคืออะไร
เมื่อมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์เริ่มจัดจ้านมากขึ้น พวกเราก็เตรียมลงเรือหางยาวขนาด 6-7 ที่นั่ง จำนวน 12 ลำ กำนันท้องที่เป็นคนจัดเตรียมไว้ให้ และเพื่อความปลอดภัยทุกคนถูกขอร้องให้สวมเสื้อชูชีพ ซึ่งทุกคนก็เต็มใจแม้อากาศเริ่มร้อนเพราะแสงอาทิตย์เริ่มแรงทั้งที่น่าจะเป็นฤดูหนาวแล้ว ใส่เสื้อชูชีพยิ่งเพิ่มความอบอ้าวขึ้นอีก แต่ทุกคนก็มีหน้าตาแจ่มใส และกระหายที่จะได้ลงเรือเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายที่กำหนดไว้ต่อไป เราแบ่งเรือเป็น 3 กลุ่มๆละ 4 ลำ แต่ละกลุ่มแยกไปชมชุมชนต่างกัน คือ ชุมชนไร่นาสวนผสม ชุมชนบ้านศาลาดิน ชุมชนบ้านกล้วยไม้ และนาบัวซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่เรือทุกลำจะมาส่งให้พวกเรารวมกันเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
คนขับเรือมีทั้งหญิงและชายวัยกลางคนขึ้นไป เป็นชาวบ้านในละแวกนั้น มีความชำนาญในการบังคับเรือสูงมาก ความชำนาญนี้เกิดจากการบังคับเรือบ่อยๆทุกวัน แรกๆขับก็คงขับเรือเป๋ไปมาหรือเกยตลิ่งบ้างล่ะ แต่ใช้ประสพการณ์สอนตัวเองจนทำได้ดีด้วย แววตาของคนขับเรือมีประกายความสุขฉายออกมาให้เห็นชนิดที่เราไม่ต้องตั้งใจมอง ระหว่างที่ขับเรือไปคนขับจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของคลองมหาสวัสดิ์และชุมชนสองฝั่งคลอง ด้วยน้ำเสียงและสำเนียงแบบชาวบ้านในชนบท น้ำเสียงแสดงออกถึงความเต็มใจและภูมิใจ ที่อยากจะให้แขกที่มาเยือนอย่างพวกเราได้รับรู้ ก็จึงได้รู้ว่าคลองมหาสวัสดิ์เป็นคลองที่ขุดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ เพื่อช่วยร่นระยะการเดินทางไปนครปฐมในสมัยนั้นที่ต้องเดินทางด้วยเรือ เรือพาพวกเราแล่นไปตามคลองมหาสวัสดิ์ซึ่งระดับน้ำในคลองดูยังสูงอยู่และคลื่นไม่แรง ใช้เวลาเดินทางไปยังแต่ละชุมชนไม่นานนัก
ที่ชุมชนไร่นาสวนผสมพื้นที่กว้างมากประมาณไม่ต่ำกว่า 40 ไร่ มีป้าแจ๋วให้การต้อนรับ และรับรองด้วยผลไม้สดและดอง ป้าแจ๋วเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกเราฟังอย่างมีความสุข ที่นี่พวกเราได้มีโอกาสนั่งรถอีแต๋นเพื่อชมไร่นา สวนผลไม้ และแปลงปลูกพืชนานาพันธ์ ป้าแจ๋วท้าพวกเราว่า หากใครนั่งรถอีแต๋นคันนี้แล้วไม่หัวเราะจะคืนเงินให้ พวกเราก็คิดในใจว่า นั่งรถอีแต๋นมันจะมีอะไรนักหนา ก็แค่ขับไปตามทางคันนาแนวสวนและคลองซอย วนไปมาแล้วก็กลับ แต่สิ่งที่คิดไว้มันไม่ใช่เลย มันไม่ธรรมดาจริงๆ ช่วงที่นั่งรถอีแต๋นนี่แหละที่ทำให้พวกเราทุกคนต้องร้องกรี๊ดออกมาพร้อมๆกันเป็นระยะระหว่างที่รถเคลื่อนที่ไป เร็วบ้าง ช้าบ้าง ยิ่งตอนเข้าโค้งกรี๊ดกันดังที่สุด แต่สนุกมาก และค่อนข้างโล่งอกที่รอดมาได้ ส่วนลุงที่ขับรถอีแต๋นแกอมยิ้มแก้มตุ่ยด้วยความพอใจที่ทำงานได้ผลสัมฤทธิ์ดีเยี่ยม
ที่ชุมชนศาลาดิน มีร้านขายเสื้อผ้าขนาดเล็กที่เน้นความคิดเรื่องเกี่ยวกับตูด มีการสาธิตการทำข้าวตัง การทำกล้วยอบพลังงานแสงอาทิตย์จากโรงอบปลอดแมลงและฝุ่น ที่นี่พวกเราได้มีโอกาสทอดข้าวตังรับประทานกันทันทีสดๆ แม่บ้านที่ชุมชนแห่งนี้ก็บรรยายถึงประวัติความเป็นมาของชุมชน ระหว่างที่นักศึกษาก็ง่วนกับการทอดข้าวตัง
ที่ชุมชนสวนกล้วยไม้ มีเรือนกล้วยไม้นานาพันธ์จำนวนมาก มีพื้นที่ประมาณ 12 ไร่ เป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีการตัดต่อพันธ์ใหม่ เราได้เรียนรู้การเลี้ยงกล้วยไม้และการกำจัดราด้วยการเพาะรา อาจารย์บางท่านซื้อกล้วยไม้ติดมือกลับมาด้วย
ที่นาบัวมีบัวจำนวนมากขึ้นในหนองน้ำขนาด 5 ไร่ มีศาลาขนาดใหญ่จัดงานประชุมสัมมนาได้สร้างไว้เกือบกลางนาบัว ลมพัดเย็นสบายแม้จะเป็นเวลาเที่ยงแดดร้อนเปรี้ยง ที่นี่เรารับประทานข้าวกล่องผัดกระเพราหมูไข่ต้มเป็นอาหารกลางวัน ที่นาบัวนี้ เห็นบัวตามผิวน้ำทำให้นึกถึงกลอนที่ผมเคยแต่งไว้เมื่อนานมาแล้วสัก 20 ปี แล้วพูดให้นักศึกษาที่ร่วมเรือลำเดียวกันฟังว่า
ดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า พุ่งผ่านปัทมาบนน้ำใส
ทั้งที่ตูมแต่มองเห็นเด่นภายใน แปลกฤทัยยัยแสงจึงแรงนัก
ดุจรังสีสาดส่องกายา ผ่านออกมาภายในจึงประจักษ์
ธรรมชาติลิขิตไว้ประหลาดนัก ให้ทายทักโรคได้สบายเอย
พวกเราเดินทางกลับมาที่คณะฯที่ศาลายา จากนั้นบ่ายโมงก็เริ่มการแบ่งกลุ่มเสวนาถึงสิ่งที่ได้ไปพบเห็นในช่วงเช้า โดยพิจารณาความสุขในมุมมองของชาวบ้านคืออะไร และความสุขในมุมมองของเราคืออะไร นี่แหละเป็นช่วงหนึ่งสั้นๆ ที่นักศึกษารังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปีที่ 2 ได้เรียนรู้ และหวังว่าสิ่งดีๆนี้จะปักหมุดฝังลึกลงไปในความทรงจำของทุกคนตราบนานเท่านาน
มานัส มงคลสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น